หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน หรือ พระธรรมวิสุทธิมงคล นามเดิม บัว โลหิตดี เป็นบุตรของ นายทองดี และ นางแพงศรี เกิดเมื่อวันอังคารที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2456 ณ ตำบลบ้านตาด อำเภอเมืองอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี จากคำขอร้องและน้ำตาของพ่อแม่ ทำให้ท่านตัดสินใจบวช เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2477 ณ วัดโยธานิมิตร จังหวัดอุดรธานี แม้ตอนแรกท่านตั้งใจจะบวชไม่นาน แต่ด้วยแรงศรัทธาในพุทธศาสนา ทำให้หลวงตามหาบัวตัดสินใจบวชตลอดชีวิต ท่านมรณภาพเมื่อวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2554 เวลา 03.53 น. สิริอายุได้ 97 ปี 5 เดือน 18 วัน 77 พรรษา

ประวัติพอสังเขป หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในวัยเด็กท่านเป็นคนที่เคารพเลื่อมใสในศาสนาพุทธ โดยได้ทำบุญตักบาตรกับผู้ใหญ่อยู่เสมอ และวัยหนุ่มก็เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว ขยันขันแข็ง ทำงานอะไรก็ทำจริงจัง เป็นที่ไว้วางใจของพ่อแม่ เมื่อท่านอายุครบอุปสมบท พ่อแม่ของท่านขอร้องให้ท่านบวชด้วยน้ำตาหวังจะพึ่งใบบุญ และเมื่อท่านตัดสินใจบวช ก็กล่าวกับแม่ไว้ว่า “เรื่องการบวชจะบวชให้ แต่ว่าใครจะมาบังคับไม่ให้สึกไม่ได้นะ บวชแล้วจะสึกเมื่อไหร่ก็สึก ใครจะมาบังคับว่าต้องเท่านั้นปีเท่านี้เดือนไม่ได้นะ”

ท่านได้อุปสมบทที่วัดโยธานิมิตร ตำบลหนองบัว อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี โดยมีพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ จังหวัดอุดรธานี เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยได้นามว่า “ญาณสมฺปนฺโน” แปลว่า “ถึงพร้อมแล้วด้วยญาณ” ท่านมีความเคารพเลื่อมเรื่องการภาวนาและกรรมฐาน ท่านได้สอบถามวิธีการภาวนาจากพระธรรมเจดีย์ และได้รับการแนะนำให้ภาวนาว่า “พุทโธ” ท่านจึงปฏิบัติภาวนาและเดินจงกรมเป็นประจำ

ระหว่างนั้น ท่านเริ่มเรียนหนังสือทางธรรมและศึกษาเกี่ยวกับพุทธประวัติ ทำให้ท่านเกิดความเลื่อมใสและตั้งใจปฏิบัติเพื่ออรหันต์ให้ได้ แต่ท่านก็ยังสงสัยว่า “จะสามารถบรรลุถึงจุดที่เหล่าสาวกบรรลุหรือไม่ และมรรคผลนิพพานจะมีอยู่หรือไม่” ความสงสัยนี้ทำให้ท่านมุ่งมั่นจะพบกับพระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เมื่อสำเร็จการศึกษาทางปริยัติ ท่านได้เดินทางไปถวายตัวเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์มั่น และพระอาจารย์มั่นก็ได้ไขข้อข้องใจของท่านได้ตรงจุด ทำให้ท่านเชื่อมั่นและรักษาวินัยข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ อย่างเคร่งครัด

หลังจากศึกษาอยู่กับพระอาจารย์มั่น ในพรรษาที่ 2 ท่านเริ่มหักโหมความเพียรในการปฏิบัติกรรมฐาน จนผิวหนังบริเวณก้นช้ำระบมและแตก พระอาจารย์มั่นเตือนว่า “กิเลสมันไม่ได้อยู่กับร่างกายนะ มันอยู่กับจิต” ซึ่งท่านก็น้อมรับคำเตือนของพระอาจารย์มั่น แต่ด้วยนิสัยของท่าน เรื่องการภาวนานั้น ท่านถูกกับการอดอาหารเพราะทำให้ธาตุขันธ์เบาสบาย การตั้งสติทำสมาธิภาวนาก็ง่าย และช่วยให้การบำเพ็ญจิตภาวนาเจริญเร็วกว่าขณะที่ออกฉันตามปกติ

พรรษาที่ 10 ท่านฝึกสมาธิจนมั่นคง และสามารถอยู่ในสมาธิได้เท่าไหร่ก็ได้ ท่านมีความสุขที่จิตใจไม่ฟุ้งซ่าน ท่านติดอยู่ในขั้นสมาธิถึง 5 ปี โดยไม่ก้าวสู่ขั้นปัญญา จนพระอาจารย์มั่นเตือนว่า “สมาธิของพระพุทธเจ้า สมาธิต้องรู้สมาธิ ปัญญาต้องรู้ปัญญา อันนี้มันเอาสมาธิเป็นนิพพานเลย มันบ้าสมาธินี่ สมาธินอนตายอยู่นี่หรือเป็นสัมมาสมาธิ” ท่านจึงออกจากสมาธิและพิจารณาทางด้านปัญญา ท่านได้บรรลุธรรมขั้นสูงสุด ในวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 บนหลังเขา ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร

การก่อตั้งวัดป่าบ้านตาด โดย พระธรรมวิสุทธิมงคล

โยมแม่ของหลวงตามหาบัว ล้มป่วยเป็นอัมพาต ท่านจึงพาโยมแม่กลับมารักษาตัวที่บ้านตาด หลังรักษาตัวหายขาดแล้ว ท่านเห็นว่าโยมแม่นั้นอายุมากแล้ว จะพาไปอยู่ในที่ทุรกันดารเพื่อจะปลีกวิเวกตามนิสัยของท่าน ก็เกรงจะทำให้โยมแม่ลำบาก และขณะนั้นชาวบ้านตาดก็อยากจะให้ท่านตั้งวัดขึ้นในบริเวณนั้นเช่นกัน โดยชาวบ้านนั้นร่วมกันถวายที่ดินให้เป็นที่ตั้งวัด จึงเริ่มก่อตั้งวัดป่าบ้านตาดขึ้น ณ หมู่บ้านบ้านตาด ตำบลบ้านตาด อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี เมื่อ พ.ศ. 2498 ต่อมากระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศตั้งขึ้นเป็นวัดในพระพุทธศาสนา เมื่อวันที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2513 โดยให้ชื่อว่า “วัดเกษรศีลคุณ”

การช่วยเหลือสงเคราะห์ โครงการช่วยชาติของ หลวงตามหาบัว

พระธรรมวิสุทธิมงคล หรือหลวงตามหาบัว เป็นที่รู้จักในฐานะพระนักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานผู้มีปฏิปทาที่มั่นคง บรรดาศิษยานุศิษย์ของหลวงปู่มั่นต่างนับถือกันด้วย เนื่องว่าท่านเป็นลูกศิษย์ที่มีปฏิปทาที่คล้ายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต การกล่าวถึงหลวงตามหาบัวในหมู่ผู้ศรัทธามีหลายเรื่อง ค่อนไปในเชิงอภินิหาร เช่น การล่วงรู้วาระจิตของบุคคลอื่น การที่เศษผม เศษเล็บ และชานหมากของท่านกลายเป็นพระธาตุไปตั้งแต่ท่านยังมีชีวิต เป็นต้น

หลังวิกฤตทางเศรษฐกิจในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2540 หลวงตามหาบัวได้เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้นทั้งในและต่างประเทศ จากการที่ท่านได้ทอดผ้าป่าทองคำและเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐ โครงการผ้าป่าช่วยชาติ โดยหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน เพื่อใช้เป็นทุนสำรองของประเทศไทย ซึ่งโครงการนี้ได้ดำเนินการมาโดยตลอดในช่วงปัจฉิมวัยของท่าน จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

นอกจากนี้ ท่านยังเอาใจใส่ด้านการแพทย์และสาธารณสุขมาโดยตลอด ท่านให้การสงเคราะห์ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าปัจจัยซื้ออุปกรณ์การแพทย์ รถพยาบาล ที่ดิน สร้างและปรับปรุงตึกของโรงพยาบาล เป็นต้น รวมทั้งตั้งกองทุนและมูลนิธิหลายแห่งเพื่อช่วยเหลือคนพิการหรือผู้ป่วยไร้ยาก เช่น กองทุนช่วยเหลือผู้ป่วยที่ยากจนและไร้ที่พึ่ง มูลนิธิรวมเมตตามหาคุณ

ท่านให้ความอนุเคราะห์สถานพยาบาลต่างๆ กว่า 200 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศพม่าและลาวด้วย ท่านมักออกเยี่ยมโรงพยาบาลต่างๆ เป็นประจำ พร้อมนำข้าวสารอาหารแห้ง เครื่องใช้ต่างๆ ไปมอบให้เสมอ โดยเฉพาะโรงพยาบาลในถิ่นทุรกันดาร และท่านจะแสดงธรรมเตือนหมอพยาบาลและเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลอยู่เสมอ

หลวงตามหาบัว ท่านมีบทบาททางด้านการเผยแผ่พุทธศาสนาและการปฏิบัติกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น และยังมีบทบาททางสังคมที่โดดเด่น ถือเป็นอริยะสงฆ์ผู้มอบธรรมและประโยชน์แก่แผ่นดิน และถือเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญในพระพุทธศาสนา เป็นผู้มีคุณูปการต่อชาวไทย เป็นเนติแบบอย่างที่ดีแก่อนุชนรุ่นหลังได้เจริญรอยตาม

พระอาจารย์

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *