วัดแม่ร่องน้อย วัดพระนอน จังหวัดลำพูน ความเป็นมาชื่อวัดแม่ร่องน้อย เรียกตามชื่อของร่องน้ำที่ไหลผ่านด้านทิศตะวันออกของวัด กว้างประมาณ 5-7 เมตร ตามหลักฐาน วัดแม่ร่องน้อย สร้างเมื่อปี พ.ศ.2542 โดยมีคหบดีนามว่า “เจ้าน้อยเทพ” และชาวบ้านหารือกันว่า บริเวณป่าข้างร่องน้ำแม่ร่องน้อยใกล้หมู่บ้าน เป็นที่เหมาะจะสร้างเป็นที่พำนักสงฆ์หรือวัดประจำหมู่บ้าน เพื่อให้เป็นสถานที่บำเพ็ญบุญกุศล จึงได้ร่วมกันทำความสะอาดบริเวณดังกล่าว และสร้างที่พักสงฆ์ด้วยวัสดุก่อสร้างที่พอหาได้ในท้องถิ่น จากนั้นได้นิมนต์พระภิกษุจากวัดต่างๆ บริเวณใกล้เคียงมาพำนักและจำพรรษา บางช่วงมีพระมาจำพรรษาต่อเนื่องกันหลายพรรษา แต่บางช่วงก็ขาดพระมาจำพรรษา มีเพียงสามเณรช่วยดูแลวัดเท่านั้น ทำให้วัดแม่ร่องน้อยตกอยู่ในสภาพเป็นวัดร้างและขาดการบำรุงรักษา อีกทั้งชาวบ้านที่เคยเข้าวัดทำบุญก็หันไปทำบุญที่วัดป่าเส้ากันเป็นจำนวนมาก
หลังปี พ.ศ.2520 ถนนสายซุปเปอร์ไฮเวย์ เชียงใหม่ – ลำปาง ถูกสร้างขึ้นตัดผ่านถนนเชื่อมระหว่างหมู่บ้านแม่ร่องน้อยกับวัดป่าเส้า เป็นอุปสรรคต่อการเดินทาง ประชาชนหมู่บ้านแม่ร่องน้อย จึงมองเห็นความสำคัญและความจำเป็นที่จะพัฒนาวัดร้างประจำหมู่บ้านให้มีสภาพที่ดีขึ้น เหมาะที่จะเป็นสถานที่บำเพ็ญบุญของชาวบ้าน จึงได้สร้างศาลาบำเพ็ญบุญ 1 หลัง และในระยะ 4 ปีต่อมา ได้สร้างกำแพงล้อมรอบบริเวณวัด กุฏิสงฆ์ จนปัจจุบัน วัดแม่ร่องน้อยมีสิ่งปลูกสร้างที่ถาวรและอำนวยประโยชน์ให้กับทางวัดและศรัทธาญาติโยมหลายประการ และได้มีเจ้าอาวาส พระลูกวัด สามเณร ศิษย์วัด อยู่ประจำพรรษา ดูแลรักษามั่นคงสืบมา
พระนอนตาหวาน วัดแม่ร่องน้อย วัดพระนอน
พระพุทธไสยาสน์ ศรีชลธารชนะมารมงคล (พระนอน) ประดิษฐานอยู่บนอาคารพระนอนบริเวณหน้าวัด เข้าประตูวัดมาก็จะเห็นความสง่างามขององค์พระนอน มีพุทธลักษณะคล้ายพระนอนตาหวานที่พม่า พระพักตร์สีขาว นัยน์ตาสีน้ำตาล ขนตางอนยาว พระโอษฐ์สีแดงอมชมพู จีวรสีทอง ดูพริ้วไหวสวยงาม
บริเวณด้านบนอาคารที่ประดิษฐานพระนอนจะไม่ให้สุภาพสตรีขึ้น เนื่องจากห้องด้านล่างของอาคารนั้น มีพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งพระเถราจารย์ ที่ประดิษฐานรูปเหมือนหุ่นขี้ผึ้งพระเถราจารย์ผู้มีพระคุณต่อประเทศ จำนวน 20 กว่าองค์ ลักษณะแต่ละองค์สวยงาม และเหมือนจริงราวกับทุกท่านยังมีชีวิต
บริเวณวัดแม่ร่องน้อย จะมีม้า คาดว่าน่าจะเพื่อใช้แห่บวชนาค หรือบวชลูกแก้ว (ปอยส่างลอง) สืบทอดตามประวัติ เจ้าชายหนีออกบวช “ทรงผนวช ขี่ม้า กัณฐกะ ข้ามแม่น้ำ อโนมา พร้อมฉันนะ ทรงสละ สมบัติ ราชวัง เป็นตำนาน ของเจ้าชาย สิทธัตถะ ศากยะวงศา แต่หนหลัง นุ่งห่มผ้า ถือศีล นั่งบัลลังก์ จนกระทั่ง ตรัสรู้ แจ้งปัญญา จนกลายเป็น ประเพณี ขี่ม้าบวช ฝึกหัดสวด พุทธศาสน์ ไตรสิกขา ถือจีวร กล่าวคำ บรรพชา เปล่งวาจา ขอบวช ศึกษาธรรม ประเพณี ภาคเหนือ อันทรงค่า ได้ขี่ม้า ออกบวช สูงค่าล้ำ จำลองแบบ เจ้าชาย ในพุทธกาล คือตำนาน บวชลูกแก้ว ในล้านนา”