ความหมายบทสวดพาหุง บทที่ 6 ชัยชนะเหนือการโต้เถียง โต้ตอบ

ความหมายบทสวดพาหุง บทที่ 6

ความหมายบทสวดพาหุง บทที่บทสวดพาหุงฯ ที่หลายคนท่องได้แล้ว และบางคนกำลังหัดท่อง ชื่อเต็มว่าชัยมงคลคาถา” เป็นบทสวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ ที่นำเอาเหตุการณ์ต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าทรงผจญและชนะมาร รวมไว้ในคาถานี้ เป็นชัยชนะที่ไม่ได้ใช้พละกำลังหรือปาฏิหาริย์ แต่อยู่เหนือมารผจญทั้งหลาย โดยใช้ธรรมะและความอดทนอดกลั้น เป็นบทสวดมนต์ที่มีค่ามากที่สุด มีผลดีที่สุด เพราะเป็นชัยชนะอย่างสูงสุดของพระบรมศาสดา จากความไม่ดีของมารทั้ง 8 ประการ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสวดบทนี้ทุกครั้งเพื่อใช้ในการทำราชสงคราม เพื่อให้มีชัยเหนืออริราชศัตรู อย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเอาชัยชนะได้ ซึ่งบทนี้จะกล่าวถึงบทที่ 6 ชัยชนะเหนือการโต้เถียง โต้ตอบ (ปัญญา)

บทสวดพาหุง

พาหุงมหากา ความหมายบทสวดพาหุง บทที่ 6

บทที่ 6 ชัยชนะเหนือการโต้เถียง โต้ตอบ (ปัญญา)

สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิ

กล่าวถึงชัยชนะของพระพุทธเจ้าที่มีต่อสัจจกนิครนถ์ มีความทะนงตนเองว่าเป็นผู้รู้มาก หวังจะโต้วาทะกับพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ทรงเอาชนะสัจจกนิครนถ์ ด้วยเทศนาญาณวิธี แล้วตรัสเทศนาสอนให้เห็นความจริง เป็นการเอาชนะด้วยความแยบคลายทางปัญญา

สัจจกนิครนถ์ ผู้ถือตัวว่าฉลาด เป็นนักโต้วาทะชั้นยอด มีความทะนงตนเองว่าเป็นผู้รู้มาก จนต้องเอาแผ่นเหล็กมารัดท้องไว้ เนื่องจากภายในท้องตนเองมีความรู้อยู่มากมาย เกรงว่าท้องจะแตกตาย สัจจกนิครนถ์ กล้าประกาศว่าทั่วเวสาลี ไม่มีสมณะ พราหมณ์ คณาจารย์ หรือแม้แต่อรหันต์ สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดที่โต้ตอบกับตนได้โดยไม่เกิดอาการประหม่าหวั่นไหว ไม่มีเหงื่อไหลแม้แต่คนเดียว

วันหนึ่ง สัจจกนิครนถ์ได้พบกับพระอัสสชิเถระ ได้ถามว่าพระพุทธเจ้าทรงสอนอะไร พระอัสสชิตอบว่า “ ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของเรา ” สัจจกนิครนถ์มีความเห็นตรงข้าม จึงประกาศจะเอาชนะพระพุทธเจ้าด้วยวาทะ จึงไปถามปัญหากับพระพุทธเจ้าที่ป่ามหาวัน

สัจจกนิครนถ์

“ ดูก่อน พระสมณโคดม ได้ยินว่าท่านสอนขันธ์ ๕ ไม่เที่ยง ไม่ใช่ตัวตนของเรา ใช่หรือไม่ ”

พระพุทธเจ้า

“ ดูก่อนอัคคิเวสสนะ คำสอนของเรา คือ รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง รูปไม่ใช่ตัวตนของเรา สัญญาไม่ใช่ตัวตนของเรา สังขารไม่ใช่ตัวตนของเรา วิญญาณไม่ใช่ตัวตนของเรา สังขารทั้งหลายไม่ใช่ตัวตนของเรา ดังนี้ ”

สัจจกนิครนถ์

“ ดูก่อนพระโคดม ธรรมดาพืชพันธ์ุเจริญงอกงามได้ เพราะอาศัยแผ่นดิน ฉันใด บุคคลก็ย่อมต้องมีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร และมีวิญญาณเป็นตัวตนของเรา ฉันนั้น ”

พระพุทธเจ้า

“ ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ท่านเชื่อว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นตัวตนของเรา ดังนี้หรือ ”

สัจจกนิครนถ์

“ ถูกแล้ว พระโคดม ”

พระพุทธเจ้า

“ ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ถ้าอย่างนั้นเราจักถามท่านว่า พระเจ้าปเสนทิโกศลและพระเจ้าอชาตศัตรู อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า เนรเทศคนที่ควรเนรเทศ พึงให้คุณให้โทษบุคคลในพระราชอาณาเขตของพระองค์ใช่หรือไม่ ”

สัจจกนิครนถ์

“ ถูกแล้วพระโคดม อย่าว่าแต่พระเจ้าปเสนทิโกศลและพระเจ้าอชาตศัตรูเลย แม้วัชชีและมัลละก็อาจฆ่าคนที่ควรฆ่า เนรเทศคนที่ควรเนรเทศในแคว้นของตนได้เช่นกัน ”

พระพุทธเจ้า

“ ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ถ้าเช่นนั้นจะกล่าวว่ารูปเป็นตัวตนของเราได้อย่างไร หากรูปเป็นของเรา เราต้องเป็นผู้กำหนดรูปของเราเองไม่ใช่หรือ ”

สัจจกนิครนถ์ยังนิ่งเฉย พระพุทธเจ้าทรงตรัสถามซ้ำ

“ ดูก่อนอัคคิเวสสนะ บัดนี้ไม่ใช่กาลที่ท่านควรนิ่งอยู่ ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ใดอันตถาคตถามปัญหาที่ชอบแก่เหตุแล้วถึง ๓ ครั้ง มิได้แก้ ศีรษะนั้นจะแตกออกเป็น ๗ เสี่ยง ”

สัจจกนิครนถ์ได้ฟังก็ตกใจกลัว กราบทูลว่า

“ พระโคดมผู้เจริญ ขอท่านจงถามต่อเถิด ข้าพเจ้าจักแก้ ณ บัดนี้ ”

พระพุทธเจ้า

“ ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ท่านเชื่อว่ารูปเป็นตัวตนของเรา แสดงว่าท่านมีอำนาจในรูปของท่าน ดังนี้หรือ ”

สัจจกนิครนถ์

“ มิได้เลย พระโคดมผู้เจริญ ”

พระพุทธเจ้า

“ ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ท่านเชื่อว่า เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เป็นตัวตนของเรา ดังนั้น ท่านจึงมีอำนาจในเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ ว่าเวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนี้เลย ดังนี้หรือ ”

สัจจกนิครนถ์

“ มิได้เลยพระโคดม ผู้เจริญ ”

พระพุทธเจ้า

“ ดูก่อน อัคคิเวสสนะ ดังนั้นท่านจะว่ารูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง ”

สัจจกนิครนถ์

“ ไม่เที่ยง ”

พระพุทธเจ้า

“ ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ”

สัจจกนิครนถ์

“ สิ่งนั้นเป็นทุกข์ ”

พระพุทธเจ้า

“ สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนอยู่ ควรหรือที่จะเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นของเรา เป็นตัวตนของเรา ”

สัจจกนิครนถ์

“ ข้อนั้นไม่ควรเลย พระโคดมผู้เจริญ ”

พระพุทธเจ้า

“ ดูก่อนอัคคิเวสสนะ ผู้ใดติดทุกข์ เข้าถึงทุกข์แล้ว กล้ำกลืนทุกข์แล้ว ยังเห็นว่าทุกข์นั้นเป็นของเรา มีอยู่หรือ ”

สัจจกนิครนถ์

“ ไม่มีเลย พระโคดม ”

พระพุทธเจ้า

“ ดูก่อนอัคคิเวสสนะ เมื่อเป็นอย่างนี้ท่านติดทุกข์ เข้าถึงทุกข์ กล้ำกลืนทุกข์แล้ว ยังตามเห็นทุกข์ว่านั้นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นตัวตนของเรา ดังนี้หรือ ”

สัจจกนิครนถ์

“ มิใช่เลย พระโคดมผู้เจริญ ”

พระพุทธเจ้า

“ ดูก่อนอัคคิเวสสนะ บุรุษต้องการแก่นไม้ ถือเอามีดคมไปสู่ป่า เขาไปตัดฟันต้นกล้วยใหญ่ต้นหนึ่ง เขาก็ไม่พบแม้แต่กระพี้ และแก่น ฉันใด ดูก่อน อัคคิเวสสนะ ท่านอันเราซักไซร้ไล่เรียงก็ว่างเปล่าในถ้อยคำของตนเองเหมือนต้นกล้วย ฉันนั้น ท่านกล่าววาจาในที่ชุมชนเมืองเวสาลี ว่าไม่มีสมณะ พราหมณ์ คณาจารย์ หรือแม้แต่อรหันต์ สัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดที่โต้ตอบกับท่านได้โดยไม่เกิดอาการประหม่าหวั่นไหว ไม่มีเหงื่อไหลแม้แต่คนเดียว ดูก่อนอัคคเวสสนะ บัดนี้หยาดเหงื่อของท่านหยาดหยดจากหน้าผากลงยังผ้าห่มแล้วตกลงที่พื้น ส่วนเหงื่อของเราหามีไม่ ”

สัจจกนิครนถ์นั่งนิ่ง ก้มหน้า หมดปฏิภาณ พ่ายแพ้แก่พุทธปัญญาของพระพุทธองค์ และได้นิมนต์พระพุทธเจ้าไปรับภัตตาหารที่อารามของตนเองในวันรุ่งขึ้น และกลายเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การชนะครั้งนี้ถือเป็นการชนะด้วยวาทะ เป็นเรื่องของการใช้ปัญญาหักล้างกันด้วยเหตุด้วยผลแท้จริง

ความหมายบทสวดพาหุง บทที่ 6

หลักธรรมที่ควรรู้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *